ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลูกสุนัขตัวน้อยๆ เป็นสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นและนำความสุขมาให้กับคนเลี้ยงได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อเริ่มต้นเลี้ยงสุนัข เจ้าของหรือผู้เลี้ยงจะมีการบำรุงเลี้ยงอย่างดี จนเมื่อถึงวันหนึ่งที่สุนัขแสนรักของคุณเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ที่ผู้เลี้ยงจะต้องหมั่นสังเกตว่าสุนัขเริ่มตั้งท้องหรือยัง ซึ่งผู้เลี้ยงมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าสุนัขท้องกี่เดือน และสุนัขท้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เรามีคำตอบให้คุณแล้วในบทความนี้
สุนัขท้องกี่เดือน คนเลี้ยงสุนัขมือใหม่ต้องรู้ !
คนเลี้ยงสุนัขมือใหม่ที่มีใจรักในการเลี้ยงสุนัข แต่ยังไม่รู้ว่าการดูแลสุนัขท้องจะต้องทำอย่างไร เราจะมาแนะนำให้คุณได้รู้ว่าสุนัขท้องกี่เดือน และมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างไรบ้าง โดยสุนัขจะเริ่มเข้าสู่ภาวะเจริญพันธุ์และพร้อมผสมพันธุ์ได้ในช่วงอายุประมาณ 6 เดือน แต่หากเป็นสุนัขพันธุ์เล็กก็อาจจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้เร็วกว่านั่นก็คือ อายุประมาณ 4 เดือน ส่วนสุนัขพันธุ์ใหญ่อาจจะเข้าสู่ระยะเวลาพร้อมผสมพันธุ์หรือติดสัดครั้งแรกเมื่อช่วงอายุ 12-16 เดือน ซึ่งยิ่งเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีระยะเวลาในการติดสัดครั้งแรกนานขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ผู้เลี้ยงจึงต้องพิจารณาดูว่าสุนัขที่เลี้ยงอยู่นั้นเป็นพันธุ์ไหน เพื่อที่จะได้ประมาณการณ์ได้ว่าสุนัขจะเริ่มผสมพันธุ์และตั้งท้องได้เมื่ออายุเท่าไหร่
เมื่อมีการผสมพันธุ์เกิดขึ้นแล้ว สุนัขจะตั้งท้องได้ประมาณ 62-64 วันหรือประมาณ 2 เดือน ใครที่อยากรู้ว่าสุนัขท้องกี่เดือน นี่คือ คำตอบที่คุณควรรู้เอาไว้ แต่ทั้งนี้สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ให้ความเห็นว่าการคาดคะเนระยะเวลาในการคลอดอาจทำได้ยาก เพราะวันที่ผสมพันธุ์ไม่ตรงกับวันที่ตั้งครรภ์เสมอไป ดังนั้น ระยะเวลาของการตั้งครรภ์อาจแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ของสุนัข แต่ทั้งนี้สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ให้คำแนะนำว่าไม่ควรให้สุนัขผสมพันธุ์จนกว่าจะมีอายุประมาณ 2 ปี เพราะช่วงเวลาเหมาะสมที่สุนัขจะตั้งท้องและเลี้ยงดูลูกได้ดีจะอยู่ที่ช่วงอายุ 2-5 ปี
แพทย์ได้อธิบายว่าในช่วงเดือนแรกของการตั้งครรภ์ ไข่ที่ปฏิสนธิจะเดินทางไปยังปีกมดลูก ซึ่งพวกมันจะฝังตัวเองในเยื่อบุภายในประมาณ 15-18 วัน การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ และจะเติบโตจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 7 วัน ภายในสิ้นเดือนแรก สัตวแพทย์สามารถตรวจจับการเต้นของหัวใจของลูกสุนัขในครรภ์ได้ และการพัฒนาจะเร็วขึ้นในเดือนที่ 2 เมื่อตัวอ่อนพัฒนาเป็นลูกสุนัข เมื่อสิ้นเดือนที่ 2 และต้นเดือนที่ 3 ลูกสุนัขก็พร้อมที่จะลืมตาออกมาดูโลกแล้ว
การเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลาการตั้งครรภ์ของสุนัข
กระบวนการตั้งท้องของสุนัขนั้น จะเริ่มตั้งแต่เมื่อมีการผสมพันธุ์กันของสุนัขตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งการคาดการณ์ระยะเวลาในการตั้งครรภ์โดยดูจากวันที่ผสมพันธุ์อาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย เพราะในการผสมพันธุ์เชื้ออสุจิสามารถอยู่รอดในมดลูกได้นานถึง 7 วัน ซึ่งการปฏิสนธิอาจเกิดขึ้นหลังจากผสมพันธุ์หลายวัน ดังนั้น หากผู้เลี้ยงต้องการเพิ่มโอกาสของการตั้งท้องอาจให้มีการผสมพันธุ์ 2 ครั้ง โดยมีช่วงเวลาและอาจใช้ชุดตรวจเลือดโปรเจสเตอโรนสำหรับสุนัขตัวเมียเพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมของการเจริญพันธุ์สำหรับสุนัขตัวเมียก่อนที่จะพาไปผสมพันธุ์
หลังจากการผสมพันธุ์แล้ว ผู้เลี้ยงควรดูแลให้สุนัขได้รับการพักผ่อนอย่างพอดี พยายามไม่ให้เกิดความเครียดมากเกินไป ซึ่งในช่วงแรกสามารถดูแลได้ตามปกติ โดยยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักหรือให้อาหารเสริมเพื่อบำรุงกว่าปกติ และการเปลี่ยนแปลงของสุนัขในแต่ละช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ จะมีดังนี้
สัปดาห์ที่ 1 : วันที่ 0 – 7
ในช่วงนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก สุนัขของคุณจะยังดูเป็นปกติ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง แต่ฮอร์โมนที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ยังไม่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้น หากเจ้าของมือใหม่อยากตรวจการตั้งครรภ์ของสุนัขในช่วงนี้จึงไม่มีประโยชน์ เพราะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ
สัปดาห์ที่ 2 : วันที่ 8 – 14
ฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่ชื่อโปรเจสเตอโรนจะเริ่มสูงขึ้น ผู้เลี้ยงอาจสังเกตเห็นว่าขนของสุนัขมีความนุ่มฟูและเงางามมากขึ้น สุนัขบางตัวจะเริ่มมีอาการง่วงนอนมากขึ้นหรือหงุดหงิด แต่บางตัวก็อาจจะยังไม่แสดงอาการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในระยะนี้เจ้าของยังไม่ต้องเพิ่มปริมาณอาหาร เพราะหากน้ำหนักตัวเพิ่มเร็วเกินไปในระยะแรกอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในการคลอดได้
สัปดาห์ที่ 3 : วันที่ 15 – 21
ในช่วงนี้หัวนมของสุนัขจะมีสีชมพูมากขึ้น พร้อมกับมีขนาดที่ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยในช่วงนี้ยังสามารถให้สุนัขออกกำลังกายได้ตามปกติ ส่วนเรื่องอาหารก็อาจจะเพิ่มสารอาหารประเภทโปรตีนและวิตามินให้มากขึ้น แม่สุนัขอาจมีอาการอยากอาหารเพิ่มขึ้นซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณให้ได้ตามที่ต้องการ
สัปดาห์ที่ 4 : วันที่ 22 – 28
ลูกสุนัขในท้องจะเริ่มพัฒนาไขสันหลังและกำลังพัฒนาร่างกายในส่วนต่างๆ ในตอนนี้สัตวแพทย์สามารถเห็นทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนาได้จากการสแกนอัลตราซาวนด์
สัปดาห์ที่ 5 : วันที่ 29 -35
ตั้งแต่วันที่ 28 จะสามารถตรวจเลือดเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ได้ ในช่วงนี้สัตวแพทย์จะสามารถคลำเจอลูกสุนัขในถุงน้ำคร่ำเนื่องจากขนาดตัวเริ่มโตมากขึ้นแล้ว
สัปดาห์ที่ 6 : วันที่ 36 – 42
ในช่วงเวลานี้แม่สุนัขบางตัวจะเริ่มมีอาการแพ้ท้องและอาเจียนเป็นบางครั้ง และบางตัวอาจมีมูกสีขาวที่ช่องคลอด ท้องขยายขนาดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและต่อมน้ำนมที่ขยายใหญ่ขึ้น ผู้เลี้ยงสามารถเปลี่ยนอาหารปกติเป็นอาหารลูกสุนัข เพื่อเพิ่มแคลอรี โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ
สัปดาห์ที่ 7 : วันที่ 43 – 49
ตอนนี้ลูกสุนัขจะมีการพัฒนาโครงสร้างของกระดูกมากขึ้นที่สามารถมองเห็นได้จากการเอ็กซเรย์ สัตวแพทย์อาจแนะนำให้ถ่ายภาพ X-ray เพื่อตรวจดูจำนวนลูกสุนัขในท้อง ซึ่งข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์เมื่อแม่สุนัขเข้าสู่ภาวะคลอดบุตร และตอนนี้ผู้เลี้ยงอาจรู้สึกว่าท้องของแม่สุนัขมีการเคลื่อนไหวในขณะที่ลูกสุนัขดิ้นไปมาอยู่ข้างใน แม่สุนัขอาจมีภาวะปัสสาวะบ่อยเนื่องจากน้ำหนักมดลูกขยายใหญ่ไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ
สัปดาห์ที่ 8 : วันที่ 50 -56
ลูกสุนัขในท้องจะเริ่มมีขนาดร่างกายที่ใหญ่ขึ้น แม่สุนัขอาจเริ่มทำรังด้วยการเอาผ้ามากองสุม ผู้เลี้ยงอาจเตรียมอาหารมื้อเล็กๆ แต่ให้กินบ่อยครั้ง เพราะท้องของแม่สุนัขเริ่มแน่น ควรปล่อยให้สุนัขได้พักผ่อนและเดินออกกำลังกายเบาๆ โดยเฉพาะควรเน้นพักผ่อนให้เพียงพอ พร้อมทั้งควรลดสิ่งรบกวนที่ทำให้เกิดอาการเครียดออกไปให้หมด
สัปดาห์ที่ 9 : วันที่ 57 – 63
สำหรับการตั้งครรภ์ที่มีความยาวเฉลี่ย (63 – 65 วัน) ในระยะนี้ถือเป็นสัปดาห์สุดท้าย ลูกสุนัขจะมีขนาดใหญ่และเริ่มดิ้นอยู่ในท้องมากขึ้น ทำให้แม่สุนัขรู้สึกไม่สบายและกระสับกระส่าย ผู้เลี้ยงต้องคอยวัดอุณหภูมิร่างกายให้ดี เพราะการที่อุณหภูมิลดลงจากปกติจะแสดงถึงสัญญาณบอกว่าการคลอดลูกจะเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง
สัปดาห์ที่ 10 : วันที่ 64 – 70
สุนัขบางสายพันธุ์ เช่น เฟรนช์ บูลด็อก จะมีระยะเวลาการตั้งท้องนานกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ดังนั้น ผู้เลี้ยงที่เห็นว่าสุนัขของตนตั้งท้องนานกว่าสุนัขของคนอื่นก็อย่าตกใจไป ให้ติดต่อสอบถามกับสัตวแพทย์ของคุณเพื่อวางแผนว่าจะทำการผ่าตัดคลอดเมื่อใด หากลูกสุนัขไม่คลอดตามกำหนด
หลังจากนี้ก็จะเป็นช่วงของการเข้าสู่ระยะเวลาก่อนคลอดและหากไม่ติดขัดปัญหาใดๆ แม่สุนัขก็จะสามารถคลอดลูกได้เอง แต่หากเป็นสุนัขพันธุ์เล็กอย่างชิวาวา อาจจะมีปัญหาคลอดยาก ดังนั้น จึงต้องคอยเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด
ถึงตอนนี้ผู้เลี้ยงมือใหม่คงจะมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นว่าสุนัขท้องกี่เดือน และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในแต่ละช่วงสัปดาห์ของการตั้งท้องบ้าง เพื่อทำให้มีความมั่นใจในการดูแลสุนัขมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยดูแลสุนัขและลูกในท้องได้อย่างถูกวิธี ซึ่งจะช่วยให้ทั้งแม่และลูกสุนัขมีความปลอดภัย ทั้งยังสามารถคลอดออกมาได้อย่างมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
อ่านเรื่องราวสาระสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เพิ่มเติม;